โอกาสสุดท้าย

แชร์

Loading

ประกาศชื่อ 30 นักเตะ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน ซึ่งส่งไปให้ประเทศสิงคโปร์ เจ้าภาพจัดการแข่งขันในรอบแรก ตั้งแต่เมื่อวาน

ซึ่งก็ครบครันทั้งรุ่นเก๋าตัวดังๆเท่าที่มี นำมาโดย ธีรศิลป์ แดงดาชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน แม้กระทั่ง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็ถูกเรียกตัวกลับมาด้วย ขณะที่ดาวรุ่งที่ไปเล่นอยู่ในต่างแดน ทั้ง ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร, โจนาธาน เข็มดี ก็ดึงกลับมาเช่นกัน รวมถึงดาวดังจากไทยลีกมากหน้าหลายตาที่รู้จักกันดีก็ติดมาพรั่งพร้อม

โดยเป็นการเลือกกันมาจากทีมงานสตาฟฟ์โค้ชที่นำโดย มาโน โพลกิง และรวมถึงผู้จัดการทีม “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งทั้งสองคนต่างก็มั่นอกมั่นใจ และเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่าทีมชุดนี้ดีพอที่จะพาทีมชาติไทยกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในเวทีอาเซียน

เชื่อว่าแฟนบอลทั้งหลายเห็นรายชื่อที่ออกมาแล้วคงจะพอใจ ส่วนถึงเวลาจริงๆแล้วแต่ละคนจะพร้อม จะสมบูรณ์ และจะเข้าขา เข้าระบบกันมากน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื่องในวันข้างหน้า ด้วยเป็นการประกาศตัวล่วงหน้า ขณะที่ไทยลีกยังแข่งไม่จบ รวมถึงนักเตะที่เล่นอยู่นอกบ้านก็มีภาระกับทางต้นสังกัด

ถึงเวลานั้นจะมีใครโชคร้ายเกิดเจ็บขึ้นมาหรือไม่ ก็ยากที่จะคาดเดา รวมถึงสิ่งที่รับรู้กันอยู่เต็มอกว่ามีเวลารวมทีมกันน้อยมาก

โดยนักเตะจะเข้ารายงานตัวในวันที่ 29 พ.ย. ก่อนออกเดินทางไปสิงคโปร์ 1 ธ.ค. และยังรวมถึงต้องมีการตรวจโควิด รอผลออกให้ครบ ถึงจะได้เริ่มซ้อมกัน

และจะประเดิมนัดแรก ในกลุ่มเอ กับ ติมอร์เลสเต ในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งว่าไปแล้วนับเป็นข้อดี และอาจจะเป็นปัจจัยบวกเรื่องเดียวกับเกมนี้ก็ว่าได้ที่เจอกับทีมอ่อนก่อน ทำให้มีช่วงเวลาปรับตัวกันหน่อย จากนั้น 11 ธ.ค. พบ เมียนมา ถัดไปเจอ ฟิลิปปินส์ 14 ธ.ค. และส่งท้ายรอบแรก 18 ธ.ค. พบ “เจ้าภาพ” สิงคโปร์ ส่วนรอบรองและรอบชิง เล่น 2 นัดที่นั่นทั้งหมด ชิงชนะเลิศกันวันปีใหม่ 1 ม.ค.

แม้ว่าภาพรวมของทีมที่ออกมานั้น เมื่อเห็นตัวนักเตะที่คลอดออกมาแฟนบอลส่วนใหญ่ดูจะมีความพึงพอใจได้เห็นทีมผู้รับผิดชอบ

ไม่ว่าจะเป็นทีมโค้ช หรือผู้จัดการทีม ต่างก็ให้โอกาส และมีความคาดหวัง ภาพเช่นนี้ลอยห่างออกมาอยู่เบื้องหน้าโดดเด่นจนลืมเลือนและบดบังสิ่งที่เคยดำรงอยู่ ค่อยๆทิ้งห่าง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯที่อยู่เบื้องหลังออกไปทุกที

ยิ่งใกล้วันแข่งและยิ่งถึงวันแข่ง โฟกัสทั้งหลายจะอยู่ที่ทีม แทบจะไม่มีใครคิดถึงปัญหาเดิมๆ ความขลุกขลัก ความไม่พร้อม ที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือแก้ได้น้อยมาก

ซึ่งเป็นธรรมชาติของกีฬาที่มองที่เกมและ ผลการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นเป็นประเด็นสำคัญ

แต่ใช่ว่าผ่านแล้ว ผ่านเลย เลือนแล้ว ลืมเลย ไม่หวนกลับ!

ถ้าผลไม่เป็นไปตามที่คาด ความหวัง ความฝัน พังทลายเมื่อไหร่ ทุกสิ่งจะกลับมา และอาจจะกลับมาอย่างมากด้วยความรู้สึกไม่อยากมองในแง่ร้าย!

“ซูซูกิคัพ” เป็นโอกาสสุดท้าย ไม่ใช่ของนักเตะ ไม่ใช่ของทีม

แต่เป็นผู้รับผิดชอบตัวจริงของกลไกฟุตบอลไทยในยุคนี้ ไม่ว่าจะยืนหลบบังเงาอยู่ที่ไหนก็ตาม…

“เบี้ยหงาย”

ที่มา : https://www.thairath.co.th/